ความหมายของบุคลิกภาพ
บุคลิกภาพ มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก คือ “Persona” ซึ่งแปลว่า หน้ากาก เพราะการแสดงละครตามบทต่างๆ ของชาวกรีกโบราณ จะใช้หน้ากากสวมให้เหมาะสมกับตัวละคร สำหรับความหมายของบุคลอกภาพ มีผู้ให้ความหมายหลายท่าน ทั้งนักการศึกษาไทยและต่างประเทศ นักการศึกษาไทย เช่น
กมลรัตน์ หล้าสุวงษ์ ให้ความหมายว่า บุคลิกภาพเป็นลักษณะท่าทางที่แสดงออกของแต่ละบุคคล รวมทั้งการใช้ภาษาหรือคำพูด เช่น การเจรจาโต้ตอบ การแสดงความคิดเห็น การใช้อากัปกิริยาแทนคำพูด
ประดินันท์ อุปรมัย กล่าวว่า หมายถึง ลักษณะโครงสร้างร่างกายและพฤติกรรมต่างๆของบุคคลที่ปรากฏให้เห็นได้ และลักษณะหรือจัดระบบภายในตัวบุคคล ซึ่งมีอิทธิพลต่อลักษณะและพฤติกรรมที่ปรากฏนั้น
ลักขณา สริวัฒน์ ได้ให้ความหมายไว้ว่า หมายถึง ลักษณะเฉพาะของเอกัตบุคคล ซึ่งไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นลักษณะภายนอก เช่น รูปร่างหน้าตา ลักษณะท่าทาง หรือลักษณะภายใน เช่น สติปัญญา ความคิด หรืออุปนิสัยใจคอ
สายสุรี จุติกุล ให้ความหมายเป็น 2 นัย ความหมายแรก คือ ส่วนต่างๆของบุคคลที่รวมกันแล้วทำให้บุคคลนั้นแตกต่างไปจากบุคคลอื่นๆ ส่วนต่างๆ เหล่านั้น ได้แก่ อุปนิสัย (Character) นิสัยใจคอ (Temperament) ความสนใจ (Interest) ทัศนคติ (Attitude) วิธีการปรับตัว (Adjustment) และโครงสร้างทางร่างกาย (Physical Constitution) ซึ่งส่วนต่างๆเหล่านี้จัดเป็นลักษณะ (Characteristic) ที่สำคัญของแต่ละบุคคล และความหมายอีกประการหนึ่งของบุคลิกภาพ คือ ตัวเราทั้งตัวหรืออัตตะ (Self) ที่แสดงพฤติกรรมต่างๆลักษณะโครงสร้างร่างกายและพฤติกรรมต่างๆ ของบุคคลที่ปรากฏให้เห็นได้ และลักษณะหรือจัดระบบภายในตัวบุคคลซึ่งมีอิทธิพลต่อลักษณะและพฤติกรรมที่ปรากฏนั้น
กระทรวงศึกษาธิการ ได้ให้ความหมาย ไว้ว่า หมายถึง ลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละคนที่ทำให้เรามีความแตกต่างจากคนอื่น
สำหรับนักจิตวิทยาชาวต่างประเทศที่ให้ความหมายของบุคลิกภาพ เช่น
กิลด์ฟอร์ด (Guilford) ได้ให้คำจำกัดความของบุคลิกภาพไว้ว่า บุคลิกภาพ คือแบบแผนที่เป็นเอกลักษณะ (Unique) ที่ประกอบกันขึ้นมาของบุคคล ในความหมายนี้เขาได้เน้นถึงแบบแผนที่เป็นเอกลักษณ์ ที่มนุษย์ทุกคนมีและไม่เหมือนใคร เด็กที่เกิดมาทุกคนแม้จะเป็นพี่น้องท้องเดียวกันก็ตาม จะมีบุคลิกภาพที่ไม่ซ้ำแบบกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนิสัยใจคอ ทัศนคติ ความสนใจพฤติกรรม กล่าวโดยสรุป กิลด์ฟอร์ด เน้นว่าบุคลิกภาพกำเนิดจากความแตกต่างระหว่างบุคคล
คะเทล (Cattell) ได้ให้ความหมายว่า บุคลิกภาพ คือ สิ่งที่ช่วยให้สามารถทำทายได้ว่า บุคคลควรจะทำอะไรในสถานการณ์ที่กำหนดให้ และบุคลิกภาพจะเกี่ยวข้องกบพฤติกรรมทุกชนิดทั้งพฤติกรรมภายนอกและพฤติกรรมภายใน
สกินเนอร์ (Skiner) ให้ความหมายว่า ผลรวมทั้งหมดของพฤติกรรมของบุคคลนั้น
ออล์พอร์ท (Allport) ได้กล่าวถึงบุคลิกภาพว่า บุคลิกภาพ คือ กระบวนการสร้างหรือการจัดส่วนประกอบของแต่ละคนทั้งภายในและภายนอก (จิตในและร่างกาย) และบุคลิกภาพนี้ จะทำหน้าที่เป็นเครื่องกำหนดตัดสินลักษณะพฤติกรรมและความนึกคิดของคนคนนั้น จะเห็นในความหมายของออล์พอร์ทนั้น เน้นความสัมพันธ์ร่วมระหว่างร่างกายและจิตใจอย่างมีระบบที่เกี่ยวข้องกัน และไม่ขัดแย้งกัน เพราะเหตุว่าต่างก็เป็นส่วนประกอบของกันและกัน เมื่อผสมผสานเป็นบุคลิกภาพแล้ว ระบบเหล่านั้นจะมีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ ออล์พอร์ท ได้ใช้คำว่า Dynamic Organization ซึ่งหมาความว่า เป็นระบบการทำงานที่มีความสัมพันธ์กัน คือในการศึกษาบุคลิกภาพนั้น เขาเน้นทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เพราะเห็นถึงความสัมพันธ์ที่แยกจากกันไม่ออกทั้งสองระบบ จิตใจจะมีอิทธิพลต่อความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และในทำนอง การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายจะมีต่อความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจด้วยเช่นกัน และเมื่อร่างกายและจิตใจต่างก็ไม่หยุดนิ่ง ร่างกายมีการผันแปรตลอดไป จิตใจก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จะทำให้ระบบเหล่านี้มีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ ซึ่งผลก็คือ บุคลิกภาพก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตามไปด้วย เช่น คนที่มีลักษณะเฉื่อยชาไม่ค่อยสนใจทำงานที่ได้รับมอบหมาย เมื่อได้อยู่ร่วมทำงานกับคนที่ว่องไว และรับผิดชอบในการทำงาน ก็จะเกิดการปรับตัวตาม เพราะได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมเช่นนั้น จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะด้วยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม จนกลายเป็นคนทีความรับผิดชอบได้
ไอเซงค์ (Eysenck) กล่าวว่า บุคลิกภาพ คือ การกระทำทั้งหมดหรือพฤติกรรมทั้งหมดของคนและบุคลิกภาพถูกกำหนดขึ้นจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
จากความหมายหรือคำจำกัดความจากนักการศึกษาหรือนักจิตวิทยาหลายท่านที่ได้กล่าวมานั้น แม้ว่าจะเน้นไปคนละแง่มุมก็ตาม แต่ทั้งหมดก็มีลักษณะร่วมกัน คือ พยายามที่จะศึกษาอธิบายและทำนายพฤติกรรมมนุษย์ในการกระทำดังกล่าว ซึ่งจะเห็นว่า นักจิตวิทยาได้ค้นคว้า วิจัยและสร้างทฤษฎี หาวิธีที่จะทำให้เข้าใจถึงพฤติกรรมของบุคคลที่เป็นเอกลักษณ์ให้มากที่สุด และพอจะสรุปแล้วบุคลิกภาพ คือ คุณสมบัติส่วนรวมทั้งหมดของบุคคลทั้งที่มองเห็นจากภายนอกได้แก่ รูปร่างหน้าตา กิริยาท่าทางต่างๆ และที่มองไม่เห็น เช่น ความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติ
พัฒนาการทางบุคลิกภาพ
นักพฤติกรรมนิยมเน้นบทบาทของการเรียนรู้ในการพัฒนาบุคลิกภาพ ซึ่งมีปัจจัยที่สำคัญในการพัฒนาบุคลิกภาพดังต่อไปนี้
1. ศักยภาพที่มีมาแต่กำเนิด (Inborn Potentialities) นับว่าเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ซึ่งอาจจะเป็นผลของพันธุกรรมหรืออิทธิพลต่างๆ ที่มีต่อทารกก่อนคลอด และสิ่งเหล่านี้มีความแตกต่างเบื้องต้นของมนุษย์ที่จะเป็นเงื่อนไขกำหนดทิศทาง และขอบเขตในการพัฒนาบุคลิกภาพในระดับหนึ่ง เช่น รูปทรง ลักษณะหน้าตา ระบบประสาท ความสมบูรณ์หรือพิการของร่างกาย ลักษณะอามรณ์ เป็นต้น ส่วนจะพัฒนาไปอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่าง ทารกบางคนเกิดมาแข็งแรง มีระบบประสาทที่ว่องไว ในขณะที่ทารกบางคนอ่อนแอขี้โรค มีระบบประสาทเชื่องช้า จะเห็นว่าทารกแรกอาจจะพัฒนาบุคลิกภาพขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพสมบูรณ์ อาจเป็นนักกีฬา และเขาจะมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ส่วนคนหลังอาจจะพัฒนาไปในอีกทางหนึ่ง เช่น อาจเป็นคนที่ต้องพึ่งคนอื่นตลอดเวลา หรืออาจหันไปเอาดีทางเขียนหนังสือ เล่นดนตรี แต่หากทารกที่เกิดมาปัญญาอ่อนย่อมไม่สามารถพัฒนาบุคลิกภาพแบบปกติเหมือนคนอื่นๆ ทั่วไปได้ การที่เด็กเป็นใบ้พูดไม่ได้ก็ย่อมกระทบกระเทือนต่อการพัฒนาบุคลิกภาพได้เหมือนกัน แต่ในทางกลับกัน หากเด็กที่พิการมีความสามารถเท่าหรือมากกว่าเด็กปกติก็ย่อมมีบุคลิกภาพที่ดีได้ เช่น เด็กที่ไม่มีแขนไม่มีขา แต่สามารถใช้เท้าทำงาน หรือเขียนหนังสือแทนมือได้ สามารถช่วยตัวเองได้ ก็จะได้รับการยกย่องชมเชยจากสังคมว่าเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษ ซึ่งในเด็กธรรมไม่สามารถทำได้ มีตัวอย่างบุคลิกภาพมากมายหลายคน ที่มีชื่อเสียงในเรื่องความสามารถทั้งคนไทยและต่างประเทศในยุคปัจจุบัน
2. สิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้ ในช่วงพัฒนาการของทารก ทารกมีประสบการณ์ต่างๆกับสังคม และได้รับสิ่งเร้าที่มากระทบมากมาย ทารกก็ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ โดยจะต้องรู้ว่า เขาต้องมีบทบาทอะไรบ้างสำหรับฐานะต่างๆ ของเขาในสังคม และเขาต้องเรียนรู้ที่จะแสดงบทบาทของเขาได้อย่างเหมาะสม การเรียนรู้จากสิ่งเร้าและประสบการณ์ต่างๆ ในสิ่งแวดล้อมย่อมเป็นส่วนสำคัญในการหล่อหลอมบุคลิกภาพของบุคคลว่าเขาจะเป็นคนอย่างไร เขาแสดงพฤติกรรมและมีวิธีปรับตัวอย่างไร เด็กที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี อยู่ในสภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด ประสบกับความอดอยาก ได้ยินแต่เสียงด่าทอทะเลาะเบาะแว้ง พบเห็นแต่ความสกปรกรกรุงรังอยู่ตลอกเวลา ก็ย่อมจะพัฒนาบุคลิกภาพไปในทางที่แตกต่างกับเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น ได้รับความรักความห่วงใยจากครอบครัวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเด็กกลุ่มนี้ย่อมมีบุคลิกภาพที่ดีกว่า และประสบความสำเร็จในชีวิตที่ดี มีประสบการณ์ที่ดีจนบางคนนำไปยึดเป็นแบบอย่างชีวิตได้ ประสบการณ์แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
2.1 ประสบการณ์ร่วมทางวัฒนธรรม หมายถึง ประสบการณ์ที่บุคคลได้รับเหมือนกันหรือในทำนองเดียวกัน อันเป็นผลจากการที่อยู่ในสังคมเดียวกัน ได้แก่ ขนบธรรมเนียมประเพณี ค่านิยม ความเชื่อ ทัศนคติ คำสั่งสอนต่างๆ ของสังคม ตลอดเวลาที่เราเจริญเติบโต เราจะศึกษาและประพฤติตนตามวิถีทางของสังคมที่เห็นว่าถูกต้อง หรือ คาดหวังกับเราโดยที่เราไม่ต้องหาเหตุผล หรือสงสัยในความถูกต้อง และไม่นึกว่าตนในวัฒนธรรมอื่นอาจจะไม่เห็นด้วย เช่น ประเพณีการไหว้ ความเกรงใจ เป็นต้น บุคคลที่เจริญเติบโตในสังคมต่างกันก็ย่อมมรแผนโครงสร้างหรือแง่มุมของบุคลิกภาพที่แตกต่างกันออกไป เพราะค่านิยมและวิถีการดำเนินชีวิตต่างกัน อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่า คนที่อยู่ในวัฒนธรรมเดียวกันจะต้องมีบุคลิกภาพที่เหมือนกัน เพราะการถ่ายทอดทางวัฒนธรรมโดยตัวแทนของสังคมต่างๆ เช่น พ่อแม่ครู อาจารย์ เพื่อน อาจไม่เป็นรูปแบบเดียวกันหรือมีความสามารถในการถ่ายทอดเหมือนกันโดยแท้จริง และในแต่ละสังคมใหญ่ก็จะมีสังคมย่อยๆ อีกมากมาย เช่น สังคมของผู้ร่วมอาชีพเดียวกัน สังคมชาวพุทธ สังคมของผู้หญิง เป็นต้น สังคมย่อยเหล่านี้ ก็จะมีวัฒนธรรมของตนเองมาหล่อหลอมบุคคลที่เป็นสมาชิกด้วย
2.2 การประสบการณ์เฉพาะ เป็นประสบการณ์ที่แต่ละบุคคลได้รับในช่วงของเขา โดยที่คนอื่นอาจไม่มีและย่อมเกี่ยวข้องพัวพันอยู่กับบุคคลที่เราสัมพันธ์ด้วยอย่างใกล้ชิด เด็กที่มีพ่อแม่เข้มงวดมากใช้วิธีการปกครองแบบเผด็จการ ซึ่งมักจะใช้วิธีการลงโทษอย่างรุนแรง เช่น เฆี่ยนตี ไม่ฟังเหตุผล ย่อมมีประสบการณ์ส่วนตัวที่แตกต่างจากเด็กที่พ่อแม่ใจดี มีเหตุผลในการอนุญาตในการทำกิจกรรมต่างๆ ที่เหมาะสมตามความสามารถ ให้รางวัลเมื่อถูก และทำโทษเมื่อผิดเด็กคนแรกอาจจะเกิดการมองโลกในแง่ร้าย ไม่ไว้ใจในสังคม จนเกิดพฤติกรรมที่ต่อต้านสังคม ส่วนเด็กคนหลังอาจจะเติบโตขึ้นมาอย่างมีความเชื่อมั่นในตนเอง มองโลกในแง่ดี รู้อะไรควรไม่ควร สำหรับประสบการณ์เฉพาะจะครอบคลุมไปถึงประสบการณ์ร้างแรง เช่น ความผิดหวังที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ การที่คนรักสิ้นชีวิต หรือความเจ็บป่วยอย่างหนัก ความคับแค้นใจอันเนื่องมาจากอยุติธรรมของสังคม สิ่งเหล่านี้ย่อมมีอิทธิพลต่อพัฒนาการของบุคลิกภาพทั้งสิ้น
|